ท่านพ่อท่านกลับมาแหลมสิงห์ ท่านคงจะนึกถึงบ้านเกิดของท่าน และอีกอย่างท่านก็มา 5 – 6 ปีแล้ว ป่านนี้ทางเจ้าคณะจังหวัดคงจะแต่งตั้งคนอื่นแทนท่านไปแล้ว ท่านพ่อเมื่อมาถึงวัดปากน้ำแหลมสิงห์ ก็มีขรัวเตยเป็นเจ้าอาวาส ท่านพ่อท่านจึงไปอยู่วัดท่าหัวแหวนกับท่านพ่อช่อ ซึ่งเป็นเพื่อนของท่าน และต่อมาเมื่อท่านพ่อช่อมรณะภาพ ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันนิมนต์ให้ท่านพ่อสุ่น เป็นเจ้าอาวาสแทน ท่านก็จะไม่ยอมรับ เกี่ยงให้เอาพระองค์อื่นแทนท่าน แต่ชาวบ้านไม่ยินยอมท่านจึงจำใจต้องยอมรับตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าหัวแหวนตั้งแต่นั้นมา (หมายเหตุ วัดปากน้ำแหลมสิงห์กับวัดท่าหัวแหวนเป็นวัดอยู่ใน ตำบลเดียวกันห่างกันประมาณ 1 กม.) ท่านพ่อท่านชอบนกเขามาก เช้าๆ พวกลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดจะต้องเอานกเขาพ่นน้ำและตากแดด ซึ่งธรรมดาเรื่องชีวิตท่านก็น่าจะยุติลง แต่ก็ดูเหมือนท่านเกิดมาเพื่อกำหราบทหารฝรั่งเศสจริงๆ กำหราบทหารฝรั่งเศสให้รู้ว่า คนหัวโล้นๆห่มผ้าสีเหลืองๆนั้น และที่ชาวไทยเรียกว่า “พระ” นั้นจะมาลบหลู่ข่มเหงรังแกกันไม่ได้ เพราะเป็นผู้สามารถทำในสิ่งที่คนธรรมดาทำไม่ได้ จึงให้มีเหตุดังนี้คือ
ทางวัดปากน้ำแหลมสิงห์ เมื่อขรัวเตย เจ้าอาวาส ได้ลาสิกขาบท ออกมาเป็นฆราวาส และได้ ขรัวแบก มาเป็นเจ้าอาวาสแทน ขรัวแบก อยู่เป็นเจ้าอาวาส 2 พรรษา ก็สึกออกมาอีกชาว บ้านปากน้ำซึ่งคอยโอกาสจะให้ท่านกลับมาเป็นเจ้าอาวาสอยู่ แล้วก็พากันร้องเรียนไปทางนายอำเภอสมัยนั้นคือ หลวงสถิตย์สิงหเขต ให้ไป นิมนต์ท่านพ่อสุ่น มาเป็นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำแหลมสิงห์ อีก หลวงสถิตย์สิงหเขต ก็ไปนิมนต์ท่านๆก็จะไม่ยอมมา แต่เมื่อพูดและยกเอาชาวบ้านมาอ้างว่าทุกคนขาดที่พึ่งแล้ว ถ้าไม่ได้ท่านพ่อไปทุกคนจะไม่ยอม ท่านพ่อเมื่อได้ฟังดังนั้น ท่านจึงมารับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดปากน้ำฯตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา นับเป็นการกลับมาครองตำแหน่งครั้งที่ 2 ของท่านและเป็นการกลับมากำหราบทหารฝรั่งเศส อย่างแท้จริง (ท่านพ่อสุ่น ตอนที่ท่านกลับมาจากบางกะสร้อยเมืองชล และไปเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าหัวแหวน ฝรั่งเศส จะเข้ามายึดแหลมสิงห์ก่อนแล้ว เพราะพยานหลักฐานคือฝรั่งเศส ยึดแหลมสิงห์ราว พ.ศ. 2436 อายุท่านก็คง 43 ปี เพราะท่านเกิด พ.ศ. 2393 ฝรั่งเสยึดแหลมสิงห์ราว 11 ปี จึงถอนกำลังกลับไป ตอนฝรั่งเศสกลับไปประมาณ พ.ศ.2447 อายุของท่านคงประมาณ 53 ปี