เดินทางลงเรือหนีไปบางกะสร้อย

ท่านพ่อสุ่น เมื่อท่านลงเรือหนีไปบางกะสร้อย(บางปลาสร้อย) จังหวัดชลบุรี นั้น อายุท่านอยู่ในราวๆ 35-37 ปี โดยประมาณ ลูกศิษย์ที่ไปกับท่านมี 3 คน และเมื่อกลับมาพวกลูกศิษย์ท่านจึงได้มาเล่าเรื่องสืบขานกันมาทุกวัน ดังนี้ ท่านพ่อกับลูกศิษย์เมื่อเดินทางกันไป เสบียงในเรือก็หมดลง และสตางค์ที่จะซื้อเสบียงอาหารก็จะหมดเช่นกัน ท่านผู้อ่านหลับตาวาดภาพก็คงจะนึกออกว่าเมืองจันทบุรี กับเมืองชลบุรี นั้น สมัยนั้นไกลกันมิใช่น้อย และเรือที่ท่านใช้ก็เป็นเรือใบ เรือใบนั้นถ้าลมไม่ดีเปลี่ยนทิศทางก็ไปไม่ได้ต้องหยุดพักทอด สมอรอจนลมมาดีจึงจะกางใบเรือเดินทางได้

ดังนั้นการเดินทางจึงต้องใช้เวลานานหลายวัน เพราะเป็นการมากระทันหันไม่ได้เตรียมอะไรมาก่อน ลูกศิษย์ทั้ง 3 คน จึงปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรดี หนึ่งใน 3 คนนั้นจึงออกหัวคิดว่า เมื่อเรือแวะพักฝั่งแล้วก็จะพากันขึ้นไปบนฝั่งหาแทงโปกัน เพื่อจะได้เงินมาเป็นทุนซื้อเสบียงอาหารลงเรือเดินทางกันต่อไป อีกคนก็ค้านว่า ถ้าไปแทงโปแล้วไม่ถูกเงินหมดจะทำอย่างไรกันดี คนที่ออกหัวคิดก็ว่า มึงอยู่เป็นลูกศิษย์ท่านมาตั้งนานมึงไม่รู้ว่าท่านพ่อมีอาคมสามารถปิดโปได้ ถ้าเราไปขออนุญาตจากท่านว่าจะขึ้นฝั่งไปแทงโปกัน ท่านพ่อท่านก็ไม่ยอมให้ไป พวกลูกศิษย์ทั้ง 3 คน ก็พากันรบเร้าอ้อนวอนท่านว่าเงินจะหมดแล้ว ถ้าไม่ทำอย่างนี้ก็จะเดินทางไปไม่ถึงบางกะสร้อยแน่ๆ ท่านพ่อท่านก็พูดว่า ” เออ : ไอ้ฉิบชิ ! มึงไปแทงได้แต่อย่าให้เกิน 3 ที ” พวกลูกศิษย์เมื่อท่านพ่ออนุญาต แล้วก็ดีใจยิ่งนักพากันขึ้นไปหาแทงโปกัน ก็แทงถูกหมดทั้ง 3 ที จึงพากันหาซื้อเสบียงลงเรือเดินทางกันต่อไปอีก

เดินทางมาใกล้เกาะเสม็ด – ช่องแสมสาร เสบียงก็หมดลงอีกก็ปรึกษากันเหมือนว่า จะขึ้นฝั่งไปแทงโปกันอีก พากันไปพูดขออนุญาตจากท่าน ท่านพ่อท่านก็ไม่ยินยอมให้ไปท่านก็ด่าว่า “ไอ้ฉิบชิ !” พวกนี้จะทำให้กูผิดศีล มันผิดมึงรู้ไหม แต่อย่างว่าพวกลูกศิษย์หายอมไม่พากันพูดเซ้าซี้อ้อนวอนท่านต่างๆนานา หนักๆเข้าด้วยความรำคาญท่านก็ว่า ” เออ : ไอ้ฉิบชิ ! มึงไปแทงอย่าให้เกิน 3 ที ” พวกลูกศิษย์ก็พากันขึ้นฝั่งไปแทงโปกัน แทง 3 ที ถูกหมดทั้ง 3 ที จึงพากันหาซื้อข้าวสารอาหารแห้งลงเรือเดินทางลงเรือกันต่อไป

เมื่อเรือใบแล่นมาถึงเกาะเสม็ด – ช่องแสมสาร เรือของท่านก็โดนโจรสลัดปล้น พวกโจรพากันเอาเรือเข้าเทียบเรือท่าน พวกลูกศิษย์ก็จะพากันสู้คว้ามีดคว้าขวาน และทุกคนถือว่าตัวเองหนังดีด้วยกันทุกคน ท่านพ่อท่านก็ว่า “ไอ้ฉิบชิ” พวกมึงอยู่เฉยๆ กูจะดูซิว่าพวกมันจะทำอย่างไรกัน พวกโจรก็พากันลงเรือค้นหาเงินจากลูกศิษย์ท่านได้ 12 บาท

โจรพวกนั้นเมื่อได้เงินแล้วก็พากันดีใจ พากันกลับลงเรือของตน ท่านพ่อท่านก็พูดว่า “ไอ้ฉิบชิ” มึงเอาแม้กระทั่งเงินพระเงินเจ้าแต่กูว่ามึงเอาไปไม่ได้หรอก หัวหน้าโจรก็หัวเราะแล้วว่า ทำไมจะเอาไม่ได้เมื่อเวลานี้เงินอยู่ที่ผมและพวกผมก็กำลังจะไป พอพูดเสร็จก็สั่งลูกน้องให้หันหัวเรือออก แต่พอเรือโจรออกไปได้สักหน่อย ท่านพ่อท่านก็หยิบหมากแห้งในย่ามยิงโจรด้วยคันกระสุน (ท่านพ่อท่านมีคันกระสุนประจำตัวอยู่ 1 คัน) เป็นที่น่าอัศจรรย์กระสุนหมากแห้งแท้ๆ แต่โดนโจรมันดังยิ่งกว่ากระสุนดินเหนียว เสียงดัง ปุ้ ปุ้ ท่านยิงทีเดียวเหมือนยิงเป็นสิบลูก ยิงจนโจรต้องหันหัวเรือเอาเงิน 12 บาทมาคืนท่าน เมื่อลงเรือได้ก็ก้มลงกราบท่านด้วยความหวาดกลัว เพราะในชีวิตการเป็นโจรมา เพิ่งจะมาเจอดีและเจ็บที่สุดก็วันนี้เอง ตามเนื้อตามตัวช้ำผื่นแดงไปหมด

ท่านพ่อเมื่อเห็นโจรสลัดสิ้นฤทธิ์แล้ว ท่านก็พูดสั่งสอนให้เลิกเป็นโจรสลัดอย่าได้ปล้นเรือเขาอีก โจรพวกนั้นก็รับคำพากันลาท่านกลับลงเรือไป ส่วนท่านพ่อท่านก็เดินทางมาจนถึงบางกะสร้อย เมืองชล (บางกะสร้อยสมัยนั้นเปรียบเหมือนจังหวัด) และนำเรือไปจอดที่สะพานศาลเจ้า เพราะสะพานศาลเจ้าเป็นสะพานที่จอดเรือเมลย์สมัยนั้น ของเรือบางกะสร้อยคือ เรือโชคชัย, เรือไชโย ซึ่งเป็นเรือของนายอากร จิ้นหลี และเรือล่งหลี ของเจ๊กกุ้ย และอีกอย่างท่านก็คงนึกไม่ออกว่าจะไปไหนดี เพราะมาถึงใหม่ๆ พวกลูกศิษย์ท่านเมื่อเรือจอดสะพานศาลเจ้าแล้วต่างก็พากันกระหยิ่มยิ้มย่อง พากันไปขออนุญาตจากท่านว่าจะขึ้นฝั่งไปหาแทงโป ท่านพ่อเมื่อลูกศิษย์มาขออนุญาตท่านก็ยอมให้ไป เพราะเงินและเสบียงก็ยังอยู่ พวกลูกศิษย์ก็พากันพูดอ้อนวอนท่านว่า เพราะความได้ใจที่แทงโปมาตามทาง 2 ครั้งๆละ 3 ทีไม่เคยผิดเลย ท่านพ่อท่านก็คงจะทนรบเร้าของพวกลูกศิษย์ท่านไม่ไหว ท่านจึงพูดว่า “เออ : ไอ้ฉิบชิ พวกมึงไปแทงกันครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแต่อย่าให้เกิน 3 ที ” พวกลูกศิษย์ท่านก็พากันขึ้นฝั่งไปแทงโปกัน ก็ถูกหมดทั้ง 3 ที จึงพากันกลับลงเรือ แต่หารู้ไม่ว่าพวกเจ้ามือโปและคนแทงได้พากันสะกดรอยตามมา (เพราะกิตติศัพท์ของพวกลูกศิษย์ท่านคงจะดังเรื่อยมาระหว่างทางว่ามีคนแปลกหน้ามากัน 3 คน มาแทงโป 3 ที ถูกหมด 3 ที แล้วพากันกลับอะไรทำนองนั้น

พอลูกศิษย์ท่านพ่อลงเรือ พวกเจ้ามือก็พากันเฮโลตามลงเรือ และเมื่อเห็นท่านพ่อนั่งอยู่ในเรือ ต่างคนต่างก็ห้อมล้อมท่านจะพากันขอของดีจากท่าน ท่านพ่อท่านจึงสั่งให้ลูกศิษย์ออกเรือหนี แต่ก็ถูกพวกที่สะกดรอยมาดึงเรือไว้ไม่ให้ไปยื้อยุดฉุดกันเป็นที่อลหม่านยิ่งนัก ส่วนบนที่ สะพานชาวบ้านละแวกนั้น เมื่อรู้ข่าวก็พากันมาที่สะพานเบียดเสียดกันจนแน่นสะพานไปหมด ต่างคนต่างก็จะลงเรือที่ท่านพ่อนั่งอยู่ จนถึงขนาดว่าเจ้าเมืองสมัยนั้นคือ “พระยาภิรมย์อุดมราชภักดี” และธรรมการจังหวัดสมัยนั้นคือ ขุนภิรามจรรยา รู้ข่าวว่าประชาชนพากันไปมุงห้อมล้อมพระองค์หนึ่งที่สะพานศาลเจ้า เจ้าเมืองและธรรมการจังหวัดพร้อมด้วยผู้ติดตามจึงรีบพากันมาที่สะพานนั้น เจ้าเมืองเมื่อไปถึงจึงรีบลงไปที่เรือที่ท่านพ่อนั่งอยู่ พอไต่ถามรู้เรื่องราวความเป็นมา เจ้าเมืองจึงนิมนต์ท่านไปฉันอาหารที่บ้าน และเจ้าเมืองจึงนิมนต์ท่านพ่อให้ไปอยู่ที่วัดต้นสน ที่บางกะสร้อยนั่นเอง เพราะวัดต้นสนสมัยนั้นอยู่หลังออฟฟิตไปรษณีย์ ติดกับโรงเรียน ชลราษฎรอำรุง เรียกว่าพอนำเรือแล่นเข้าคลองบางกะสร้อยสมัยนั้นเรือก็สามารถจอดอยู่หน้าออฟฟิตไปรษณีย์ได้ ด้วยเหตุนี้เอง

ท่านพ่อสุ่นท่านจึงอยู่วัดต้นสน เมืองชล ตั้งแต่นั้นมาและที่วัดนี้เองต่อมาท่านได้บวชพระองค์หนึ่งชื่อพระภู ท่านอยู่จนพระภูเป็นพระปลัดภู (ราวๆ 5 – 6 ปี) ท่านก็กลับแหลมสิงห์ วันที่ท่านจะกลับนั้นพระปลัดภูจะไม่ยอมให้กลับร่ำอาลัยในตัวท่านยิ่งนัก แต่นิสัยท่านพ่อท่านเป็นคนจริงลงว่าท่านจะกลับ ท่านก็ต้องกลับของท่านให้ได้ พระปลัดภูเมื่อเห็นว่าหน่วงเหนี่ยวท่านไว้ไม่ได้แน่แล้วก็สั่งท่านและลูกศิษย์ว่า วันใดที่ท่านพ่อสุ่น มรณะภาพลงให้คนมาส่งข่าวมาถึงท่านเร็วที่สุด ท่านจะไปจัดการแต่งศพให้เป็นการทดแทนพระคุณ และท่านมีศิลป์ในการแต่งศพสวยงามมาก และภายหลังท่านพ่อมรณะภาพลง พระปลัดภูก็มาจัดการแต่งศพให้ท่านอย่างสวยงาม ท่านพ่อสุ่น ท่านเกี่ยวพันธ์ทางเมืองชลมาก ลูกศิษย์ท่านเล่าว่าสมัยที่ท่านอยู่วัดต้นสน ในละแวกวัดต้นสนมีวัดอยู่ห่างกันไม่มากหลายวัด คือ วัดเนิน วัดต้นสน วัดใหม่ วัดใหญ่ วัดกลาง วัดสมถะ วัดเคลือวัลย์ วัดนอก วัดกำแพง ลูกศิษย์ท่านเล่าว่าท่านพ่อสุ่นท่านมีเจ้าอาวาสที่เป็นเพื่อนกัน และเพื่อนรุ่นน้องมากมายและลูกศิษย์ลูกหาที่เรียนกับท่านก็มีมาก แต่จำชื่อไม่ได้ จำได้แต่ หลวงพ่อภู วัดต้นสนได้แม่นยำเพราะเป็นวัดที่ไปอยู่ ส่วนวัดอื่นๆที่เอ่ยมามีที่รู้จักกับท่านแน่ๆก็มีหลวงพ่อภู่วัดนอก หลวงพ่อเจียมวัดกำแพง เพราะมาหาท่านที่วัดต้นสนและวัดอื่นเป็นวัดที่ท่านไปเที่ยว 3-4 วัน แล้วก็กลับมาวัดต้นสน

ใส่ความเห็น